ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทำอย่างไร

๑๕ ต.ค. ๒๕๕๙

ทำอย่างไร

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “สมาธิ

หลวงพ่อครับ คือเวลาผมภาวนาแล้วจะใช้พุทโธ ธัมโม สังโฆ พร้อมภาวนาไปสักพักก็จะลืม ต้องกลับมาภาวนาใหม่ จึงเปลี่ยนการภาวนามาเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจ รู้สึกว่าภาวนาได้ดีกว่า ภาวนาไปสักพักจะรู้สึกว่ามีแต่ลมเข้าออก ก็กำหนดดูลมหายใจไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าการภาวนาต่อไปจะเป็นอย่างไร

ตอบ : ไอ้นี่คำถามเริ่มแรกเนาะ แต่คำถามนี้มันจะคำถามต่อเนื่องเยอะมากเลย ทีนี้คำถามเริ่มแรกจะปูพื้นมาเฉยๆ ถ้าจะปูพื้นไว้เฉยๆ ว่า เวลาเขากำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ สักพักหนึ่งแล้วก็ลืม แล้วก็ลืม แล้วเราพุทโธๆ

คำว่า “พุทโธ” มันต้องระลึกขึ้น ในการประพฤติปฏิบัตินะ เราต้องทำนะ ถ้าเราไม่ทำ ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นการจำ มันเป็นการจำ มันก็เป็นสัญชาตญาณของคน โทษนะ เราเป็นคน เราไม่ใช่สัตว์ เราเป็นคน เราทำสิ่งใดเราต้องมีสติปัญญาใช่ไหม สัตว์เวลามันทำ มันทำตามสัญชาตญาณ พวกสัตว์นี่นะมันทำตามสัญชาตญาณ มันไม่มีสมองไง เราถึงภูมิใจกันว่าเราเป็นมนุษย์ไง

มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์มีสมองใช่ไหม มนุษย์มีสติปัญญาใช่ไหม ถ้ามนุษย์มีสติปัญญา เราต้องทำด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ถ้าเราทำด้วยสติปัญญาของเรานะ มันถึงเป็นภาคปฏิบัติไง

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ส่วนใหญ่แล้วเป็นภาคปริยัติคือการศึกษา การศึกษา ทุกคนก็ภูมิใจ เพราะเรามีการศึกษาทำให้เราเข้าใจเรื่องศาสนา ถ้าเข้าใจเรื่องศาสนา ศาสนาจะมั่นคง อันนี้เราก็เห็นด้วย เห็นด้วยนะ เพราะเราไม่เข้าใจเลย เราจะตักบาตรทำบุญ เราก็ทำไม่ถูกต้องใช่ไหม ถ้าเราตักบาตรทำบุญ เห็นไหม สมเด็จพระมหาสมณเจ้าท่านถึงได้เขียนตำราไง ศาสนพิธีเป็นตำราที่แต่งขึ้นนะ พวกศาสนพิธี ไอ้เรื่องนวโกวาท นี่เป็นการแต่งขึ้นมา ถ้าเป็นการแต่งขึ้นมา เราก็ศึกษาๆ ศึกษามาเป็นวัฒนธรรมของเรา นี่เป็นการศึกษา ถ้าศึกษา เราศึกษาเรื่องศาสนามาเพื่อความเข้าใจ แต่เวลาจะปฏิบัติ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ศึกษา เราก็ไปอ่านมา อ่านมา ครูบาอาจารย์เราก็ดูตามนั้น แต่ถ้าเราไม่ระลึกพุทโธขึ้นมา ใจเราไม่ได้ทำ

เวลาระลึกพุทโธ เขาบอกว่า เขาระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ สักพักหนึ่งมันก็ลืม

มันลืมไง ก็เหมือนเราทำ ตอนนี้ไอ้พวกการออกกำลังกาย ฟิตเนสกำลังมาแรงมากเลย ทุกคนอยากมีกล้ามท้องๆ เวลาปฏิบัติแล้ว เวลาฝึกแล้วนะ เวลาออกกำลังกายแล้วยังต้องควบคุมอาหารอีกต่างหากนะ เวลาทำขึ้นมา เราทำแล้วเราไม่ประสบความสำเร็จ ออกกำลังเกือบตายไม่ได้อะไรเลย ก็ต้องไปหาโค้ชมา เขาต้องสอนเรื่องวิธีการกินเลยล่ะ ต้องกินอย่างนี้ ต้องอยู่อย่างนี้ มันถึงจะมีอย่างนี้

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาพุทโธ ธัมโม สังโฆแล้วมันลืม มันลืมขึ้นมา ลืมขึ้นมา เราทำความเข้าใจไง เราต้องทำความเข้าใจว่าที่เราศึกษาธรรมะ เราศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ ถ้าความเข้าใจแล้ว เวลาปฏิบัติเราไปรู้แจ้ง การรู้แจ้งมันต้องรู้แจ้งจากการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติ ถ้ามันปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

คำว่า “สมควรแก่ธรรม” ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ มันชัดๆ นะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ซื่อตรงมากเลย เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล แล้วซื่อตรงเป็นวิทยาศาสตร์เลย พิสูจน์ได้ด้วยสัจจะเลย แต่เราทำด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเราไง เราทำด้วยความพอใจไง เราทำก็เหมือนทางโลกที่เขาบอกว่าชาวพุทธไม่มีวุฒิภาวะจะเชื่ออะไรง่ายๆ เห็นต้นกล้วยสองหน่อสามหน่อก็ไปกราบกันแล้ว นี่ไง เราเชื่อตามๆ กันมาไง เราไม่ได้ใช้ปัญญาไง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เราศึกษามา ศึกษามามันเป็นการศึกษา เวลาปฏิบัติขึ้นมา เราจะเชื่ออะไรล่ะ ศาสนาพุทธซื่อตรงๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล

เวลาพระสารีบุตรถามพระอัสสชิ เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำเหตุนั้น ดับที่เหตุนั้น ไม่ได้ดับที่ความรู้สึกเราเลย ดับที่เหตุ อารมณ์ความรู้สึกมันมาจากไหน มันมาที่เหตุ

นี่ก็เหมือนกัน เวลากำหนดพุทโธๆ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีปัญญาขึ้นมา ก็เหมือนกับอ่านหนังสือ เหมือนการศึกษาไง อ่านแล้วก็จำเอา เอาง่ายๆ ชุบมือเปิบไง แล้วเวลาทำขึ้นมามันก็ทำไม่ได้ไง นี่ทำไม่ได้นี่อย่างหนึ่ง

ฉะนั้นบอกว่า เขาบอกพุทโธ ธัมโม สังโฆแล้วมันลืม พอมันลืมแล้วเขาไปกำหนดอานาปานสติ กำหนดลม มันสะดวกกว่า

จริง เพราะลมมันมีอยู่แล้วไง พุทโธมันคำบริกรรมต้องนึกขึ้นใช่ไหม ถ้าเราไม่นึกพุทโธ พุทโธมันอยู่ไหนล่ะ อ้าวพุทโธมันก็พุทธะ พุทธะคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะคือผู้รู้ ก็หัวใจของเรา แต่มันไม่เห็นมันไม่รู้ แปลกมาก เราไม่ซื่อตรงกับธรรมไง เราไม่ซื่อตรงกับธรรม เราทำไม่ตามความเป็นจริงไง ก็เลยล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่ แล้วไปที่ไหนเขาก็เหมือนกับการครอบครู เอาชฎาสวมหัวให้ โอ้รำปร๋อเลย...เสร็จ

นี่ก็เหมือนกัน ไปไหนอาจารย์ก็ชี้ให้ ไอ้นั่นได้โสดาบัน ไอ้นี่ได้ไอ้นั่น ก็ได้ก็ครอบครูไง ไอ้ชฎาอันหนึ่งบนหัวไง ไอ้นี่ก็ได้คำชมไง ได้การเยินยอไง แล้วมันมีอะไรเป็นจริงล่ะ มันไม่เป็นจริงหรอก

ครอบครู ครอบด้วยความเคารพนะ เรามีการศึกษามาจากครูบาอาจารย์ เราก็ครอบครูด้วยความเคารพ แต่เวลาเราไปทำประกอบอาชีพใช่ไหม ศิลปะเราก็รำเป็น เราก็รำได้ เราก็รู้ท่ารู้ทาง นี่คือความรู้ของเราไง ไอ้ครอบครู ครอบครูนั่นมันเป็นความกตัญญูกตเวทีไง ครอบครูแล้วรำไม่เป็น ทำอย่างไรล่ะ หุ่นชักใช่ไหม

นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราศึกษามา ศึกษามาแล้วเราต้องมีสติปัญญา ทีนี้พอบอกว่า อานาปานสติ ลมมันมีอยู่แล้วไง ลมมีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่กำหนดลม มันก็ลมหายใจทิ้งเปล่าๆ ลมก็มีอยู่แล้ว เรากำหนดลมมันถึงอานาปานสติ ฉะนั้น เขาก็เลยไปกำหนดลม ถ้ากำหนดลม ลม อากาศธาตุ อากาศธาตุที่ความรู้สึกไปจับต้อง ถ้าเราระลึกพุทโธมันก็ต้องระลึกขึ้น นี่การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ

ฉะนั้น เขาบอกว่า ถ้าเขากำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ สักพักมันก็หายไป สุดท้ายแล้วเขาก็มาทำอานาปานสติ กำหนดลมหายใจ รู้สึกว่ามันดีกว่า

แต่ดีกว่าแล้ว ดีกว่า มันทำสิ่งใดก็ได้ นี่พูดถึงว่าโดยพื้นฐาน โดยพื้นฐานของการปฏิบัติ ถ้าโดยพื้นฐานของการปฏิบัติ ตอนนี้มวยไทยกำลังฮิตมากเลย ดูสิ พวกยุโรปเขามาฝึกหัดมวยไทยๆ โดยพื้นฐานคนเรา เด็กไทยมันจะมีพื้นฐานของมวยไทย

นี่ก็เหมือนกัน โดยพื้นฐานๆ การทำความสงบของใจนี่โดยพื้นฐาน ถ้าทำความสงบของใจแล้วใจมันสงบจริง โดยพื้นฐาน ถ้าพื้นฐานที่ดี มวยไทยๆ เด็กไทยมันมีพื้นฐานของมัน เวลามันฝึกของมัน มันจะเนียนกว่า มันจะทำได้ชัดเจนกว่า

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธๆ เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจไม่สงบ มันก็เหมือนพวกทางยุโรปมาเรียนมวยไทย ทำอะไรก็ทำเก้งๆ ก้างๆ เก้งๆ ก้างๆ แต่ถ้ามันฝึกจริงๆ มันก็ทำได้ นี่ก็เหมือนกัน พูดถึงการภาวนา ถ้าการภาวนา เราต้องทำจริงทำจังของเราแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

นี่พูดถึงว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆแล้วมันไม่ถนัด แล้วพอเราไปอานาปานสติมันดีกว่า

ดีกว่า มันก็เหมือนกับว่าตรงกับจริตของตน ถ้าตรงกับจริตของตนแล้วทำอย่างไรต่อไป ทำให้มันดีขึ้น นี่โดยพื้นฐานนะ โดยพื้นฐานเราต้องทำของเรา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมคือเราเป็นคนทำเอง เราทำเอง เรารู้เอง มันเป็นสัจจะของเราเอง มันจะเป็นประโยชน์กับเรา จบ

ถาม : เรื่อง “จิตหรือกิเลส

หลวงพ่อครับ ผมภาวนาอานาปานสติ กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหมือนร่างกายตั้งอยู่เฉยๆ แล้วตัวก็หดเข้ามาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าจับได้แต่ลมหายใจ ผมเลยภาวนาดูลมหายใจต่อไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าตัวหมุน หมุนไปเป็นวงกลมทางซ้ายไปทางขวาบ้าง จากบนลงล่างบ้าง มันเริ่มหมุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เลยคิดว่าผมเข้าไปเห็นจิต นี่เป็นอาการของจิต ผมจึงพยายามพิจารณาว่านี่ใช่อาการของจิตหรือเปล่า จากนั้นมันก็รู้สึกว่าหมุนเบาลง แต่ก็ยังหมุนอยู่ พอหลังจากนี้ผมเริ่มพิจารณาไม่ได้แล้ว รู้สึกว่ามันอื้อไปหมด ผมจึงหยุดนั่งสมาธิครับ ผมจึงอยากถามหลวงพ่อว่า อาการอย่างนี้ ความรู้สึกนี้เป็นกิเลสมันหลอกให้คิดว่าผมเห็นจิตหรือเปล่าครับ

ตอบ : ล้านเปอร์เซ็นต์น่ะ มันยิ่งกว่าหลอกอีก นี่พูดถึงจิตมันหลอกไง

เริ่มต้น เริ่มต้นเมื่อกี้นี้บอกว่าเวลาเราพิจารณา ที่คำถามบอกว่า กำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆแล้วกำหนดไม่ได้ กำหนดอานาปานสติมันดีกว่า แต่อันนี้บอกว่ากำหนดอานาปานสติ กำหนดอานาปานสติแล้วตัวมันหดเข้า ตัวมันหดเข้า หดเข้าเรื่อยๆ

การหดเข้าหรือการรับรู้ต่างๆ เราไปอยู่ที่ลมเฉยๆ กำหนดพุทโธหรือการกำหนดอานาปานสติ นี่คือคำบริกรรม

มวยไทยๆ มวยไทย ดูสิ นักมวยที่เขามีชื่อเสียงเวลาที่เขาจะชก เขาบอกเขาจะลงนวมกี่ร้อยยก ลงนวม ๕๐ ยก คราวนี้ลงนวม ๕๐ ยกเพราะคู่ต่อสู้ไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าคู่ต่อสู้มีสถิติที่ดี เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียง เราต้องลงนวมอย่างน้อย ๘๐ ยก อ้าวถ้าเราจะชิงแชมป์ เราจะต่อสู้กับนักมวยที่มีความชำนาญ เราต้องลงนวม ๑๒๐ ยก

เวลานักกีฬา โค้ชที่เขาเป็นโค้ชเขาจะคำนวณคู่ต่อสู้ว่ามีความชำนาญมากน้อยแค่ไหน เราซ้อมมากน้อยแค่ไหนเราถึงจะต่อสู้กับเขาได้ เห็นไหม เขาคำนวณอย่างนั้นเลย คำนวณอย่างนั้นโดยที่ว่าเราฝึกหัดของเรา ไอ้นี่เวลาเราทำของเราไป ถ้ามันโดยพื้นฐานเราซ้อมของเรา เราทำของเรามาดี เราขึ้นไปแข่งขัน เราขึ้นไปต่อย เราจะแพ้หรือชนะนั่นอยู่ที่ความสามารถของเราอีกชั้นหนึ่ง

อันนี้ก็เหมือนกัน อย่างที่ว่า ถ้าเรากลับมาที่กำหนดลมหายใจเข้าออก หรือเรากำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ กรรมฐาน ๔๐ ห้องนะ แล้วถ้ามันมีปัญหา เราแนะนำ ส่วนใหญ่แล้วเราแนะนำใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันไม่ใช่วิปัสสนา มันไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ มันเป็นการทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วถ้าไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นั่นถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ฉะนั้น เวลากำหนดการฝึกซ้อม ทีนี้เวลาการฝึกซ้อมขึ้นมา การฝึกซ้อมก่อนขึ้นชก ดูสิ นักกีฬาของไทยเรา เขาบอกว่าแชมป์สนามซ้อม แต่เวลาแข่งแพ้ทุกที

นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่เรากำหนดลมหายใจเข้าออกต่างๆ มันจะหดตัวเข้ามา มันจะหันซ้ายหันขวา นี่มันเป็นอาการทั้งนั้น มันเป็นอาการของจิตทั้งนั้น ถ้ามันจะหดตัวเข้ามา มันจะหดตัวอย่างไร เราอยู่กับพุทโธ ถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้าออก เราอยู่กับลมหายใจอย่างนั้น แล้วต้องมีสติ ต้องมีสติ ต้องมีกำลัง ถ้ามีสติ มีกำลัง มันจะอยู่ที่ลมหายใจได้

แต่ถ้าคนเรามันวุฒิภาวะคือวาสนาไม่มั่นคงไง คือว่าทำมาจิตใจไม่แน่วแน่ ไม่แน่วแน่ พอมันหดตัวลง โอ้โฮมันหดตัวแล้วนะ เวลามันขยายตัวขึ้น โอ้โฮ!มันจะไปแล้วนะ...ไอ้นี่มันแค่เป็นอาการ

ถ้าพูดถึงถ้ามีสติปัญญานะ ถ้าคนที่มีสติปัญญาแล้วจิตใจเข้มแข็งนะ เวลามันหดตัวลง เวลามันขยายตัวขึ้น เขาบอกเลย มันเป็นอาการที่มันเกิดปีติ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น นี้เป็นองค์ของสมาธิ สมาธิจะมีความรู้สึกอย่างนี้สมบูรณ์

แต่นี้เวลาเราพุทโธๆ เข้าไป คำบริกรรมเรามีใช่ไหม เราระลึกพุทโธๆ พอมันมีการเคลื่อนไหวมันจะเกิดการรับรู้คือเกิดปีติ ถ้าเกิดปีติ ถ้าเกิดปีติมันจะขยายตัวขึ้น มันจะพองตัวขึ้นอย่างไร มันเกิดปีติ

ถ้าสติปัญญาเรามั่นคงอยู่นี่ เราอยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะขยายจากปีติ ปีติมันรู้เท่าใช่ไหม ปีติมันหลอกเราไม่ได้ มันจะเกิดความสุข เกิดความสุข เกิดความระงับ ถ้าเกิดความสุข เกิดความระงับ เราจะพุทโธต่อเนื่องไปๆ มันก็จะวางหมด พ้นจากความสุขไปมันเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น พอตั้งมั่นของมัน มันจะเป็นของมันอย่างนี้ ถ้าเป็นความจริง

แต่นี้มันหดตัว มันหดตัว หดตัวหรือขยายตัว มันเป็นอาการอย่างนั้น แต่หันซ้ายหันขวา มันเป็นอาการทั้งหมด มันเป็นอาการทั้งหมด ทีนี้เป็นอาการทั้งหมด เขาถามว่า อาการที่นี่มันเป็นกิเลสหรือมันเป็นจิต

กิเลส กิเลส มันเกิดจากจิตทั้งหมด ทุกอย่างเกิดจากจิต ถ้ามันไม่มีจิตคือคนไม่มีชีวิต ไม่มีจิตคือไม่มีการกระทำ ซากศพ คนตายไม่มีจิตใช่ไหม ถ้ามีจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ฐีติจิตๆ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส อวิชชามันเกิดบนนี้ ความทุกอย่างมันเกิดบนฐีติจิตนี้ ถ้ามันเกิดบนฐีติจิตนี้ แล้วทีนี้พอเกิดจากฐีติจิต มันอยู่ที่วาสนาของคนแล้ว พันธุกรรมของจิตๆ ถ้าจิตของคนที่มีอำนาจวาสนานะ มันมั่นคงนะ มั่นคง กำหนดพุทโธ อะไรจะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะล่มสลาย ฟ้าดินจะมีพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างไรไม่สน อยู่กับพุทโธ อยู่กับพุทโธ มันหลอกไม่ได้นะ มันจะไปไหน

ไอ้นั่นคือเหมือนกับไพร่พลเขายกเข้ามาย่ำยีเรา เรานั่งเฉย มันร้องไห้กลับไปเอง มันเสียใจ เออไม่กินเหยื่อเราเลยเนาะ ถ้าเราขยับ เสร็จมันหมด

มันจะมีใครมันจะทุ่มเทมาขนาดไหน เฉย พุทโธอยู่กับพระพุทธเจ้า เราไม่ยุ่งกับมัน เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้ยุยงส่งเสริม เราไม่ได้รับรู้อะไร เรามีความผิดอะไร ไม่มี เอ็งเท่านั้นน่ะ เอ็งจะเข้ามาหลอกลวง สุดท้ายมันกลับไปหมดน่ะ นี่ก็เหมือนกัน มันจะเกิดอาการอย่างไร ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ

เว้นไว้แต่คนที่อ่อนแอไง ไปเห็นอะไร โอ้โฮจิตนี้สุดยอด...ไปแล้ว สุดยอด ยอดอะไร ยอดหน่อไม้ไง เขาจะหักไปแกงน่ะ หมดเกลี้ยง มันอ่อนแอไง มันอ่อนแอเพราะอะไร เพราะไม่ได้อยู่ในวงของผู้ที่ปฏิบัติ แล้วในวงของผู้ที่ปฏิบัติมันก็อยู่ในวงของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ถ้าวงครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เพราะครูบาอาจารย์ท่านผ่านวิกฤติมา กว่าจิตมันจะสงบได้ กว่าจะรักษาจิตที่มั่นคงได้ จิตที่มั่นคงแล้วเราจะยกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ครูบาอาจารย์ท่านทำมานะ

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ทำมา อย่างเช่นหลวงปู่มั่น ท่านพูดกับพระ “การแก้จิตแก้ยากนะ ให้ภาวนามา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ถ้าผู้เฒ่าล่วงไปแล้วไม่มีใครแก้นะ

ไอ้คนที่จะแก้มันก็ไอ้พวกเชิญยิ้มน่ะ แก้แบบเชิญยิ้มร้อยแปดพันเก้าบ้าบอคอแตกกันอยู่นี่ ในวงปฏิบัติเชิญยิ้มเดี๋ยวนี้ยุ่งมาก ไม่มีก็ถือว่ามี ไม่เป็นก็ว่าเป็น พูดไม่เป็นก็แต่งเรื่องขึ้นไปร้อยแปด แล้วก็อ้างพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเรียบง่าย ทำแล้วสะดวก

แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านอยู่ในวงใน ท่านอยู่ในวงของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านจะให้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว ถ้าใจสงบเป็นจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตที่ควรแก่การงาน ไม่ใช่จิตของเรา จิตที่มีกิเลส จิตที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตที่มันมีแรงปรารถนา จิตที่มันคึกคะนองร้อยแปด แล้วมันจะได้อะไรมาล่ะ ก็ได้สิ่งที่มันพอใจเท่านั้นน่ะ สิ่งที่มันไม่พอใจมันก็ไม่ได้

นี่พูดถึงว่า “ถ้ามันหดตัว มันหมุนซ้ายหมุนขวา แล้วผมเข้าใจว่านี่มันเป็นจิตหรือมันเป็นกิเลส

กิเลสๆ แต่กิเลสเกิดจากจิต จิตมันมีอวิชชาครอบงำมันอยู่ มันก็มีความรับรู้ไปอย่างนั้น แล้วจิตมันอ่อนแอ อ่อนแอไม่อ่อนแอเปล่านะ มันมีอยู่ในกระแสสังคม กระแสสังคมตอนนี้แบบว่าการประพฤติปฏิบัติมันกำลัง เมื่อก่อนเวลาเราพูดถึงศาสนาพุทธ พูดถึงเรื่องภพเรื่องชาติ เรื่องมรรคเรื่องผล หัวเราะเยาะกันนะ

แต่ตอนนี้ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำจนสังคมยอมรับ ตอนนี้เลยกลายเป็นสินค้าเลย ใครๆ ก็เอามาเป็นสินค้าขาย สุดยอดๆ อะไรก็ไม่รู้เรื่อง วุ่นวายไปหมด วุ่นวายไปหมดมันก็เป็นกระแสสังคม

ถ้าเรามีสติปัญญา ถ้าของดี ของดีเอ็งต้องเก็บไว้รักษา ของดีไม่มีใครเอามาแจกหรอก เหมือนแชร์ลูกโซ่เลย ให้ผลประโยชน์ตอบแทน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อู้ฮูลงขันกันใหญ่เลย แล้วก็บอกว่าทำไมเขาโกงหนูก็ไม่รู้...ก็เอ็งมันโง่ไง อยากได้ผลง่ายๆ ไง มันไม่มีอยู่ในโลกหรอก

นี่พูดถึงว่า “จิตหรือกิเลส

กิเลสทั้งหมด

ฉะนั้น สิ่งที่เขาบอกว่า “อาการอย่างนี้นั่นกิเลสหลอกให้คิดว่าผมเห็นจิตหรือว่าเป็นจิตจริงๆ ครับ

กิเลสหลอกชัดๆ ครับ แล้วให้มันเป็นอย่างนั้นไป จบ

ถาม : เรื่อง “มาถูกทางไหมเจ้าคะ

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพเป็นอย่างสูง ลูกได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่น(มุตโตทัยหลวงปู่เหรียญ และอาจารย์สิงห์ทอง เป็นต้น ทุกท่านกล่าวถึงการพิจารณากายก่อนทั้งนั้น ลูกไม่เคยเห็นกายเลย ไม่รู้ว่าเขาทำกันอย่างไรคะ (ลูกเคยเห็นได้แค่นิมิตที่ผ่านมาแค่เป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งลูกไม่สามารถจะทำอะไรมันได้เหมือนคนอื่นๆ เขาได้นะคะ)

ลูกเห็นเพียงแต่ว่า เมื่อมีสมาธิในระดับหนึ่ง จิตตั้งมั่นในระดับหนึ่ง มันจะรู้ของมันเอง มันควบคุมตัวมันเองได้เลย มันประคองตัวเองได้ ไม่ให้เข้าไปในความคิดต่างๆ (ตัวเราหรือจับความคิดแล้วมันก็ปล่อยความคิดนั้น แล้วมันจะเลื่อนไปหมุนไปข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องว่างๆ นั้นมันเป็นแค่ไม่กี่ครั้งเอง

คำถาม

ความสงบและสมาธิแค่นี้เพียงพอหรือไม่เจ้าคะ

จำเป็นไหมที่จะต้องพยายามทำให้สงบมากกว่านี้เพื่อให้มีกายขึ้นมาพิจารณาก่อน

หรือไม่ต้องก็ได้ ให้ทำในสิ่งที่ทำอยู่นี้ให้มันแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นมา เน้นไปที่รู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สุด เพียงแค่นี้ก็พอเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : ไอ้นี่เขาถามมาเรื่อยๆ ไอ้นี่เขาอยู่อังกฤษ เขียนมาเลย อยู่อังกฤษ แล้วถามมา เมื่อก่อนถามมานะ ก็ทุกข์ๆ ยากๆ แล้วพระไปเผยแผ่ธรรมทางนู้นไง แล้วเขาก็ไปศึกษาธรรมะมาร้อยแปด แล้วบังเอิญเขาเข้าไปดูในเว็บไซต์เรา ถ้ายังไม่ได้ดูในเว็บไซต์เรา เขาก็ยังหกล้มคลุกคลานอยู่นั่นน่ะ แต่พอฟังเว็บไซต์เรา เขียนมาเราก็ตอบไปเรื่อยๆ ตอบไป เขาบอก เออเขาเข้ามาถูกทาง เข้ามาด้วยความพอใจ เสร็จแล้วก็ทำไปล้มลุกคลุกคลานนะ เดี๋ยวเสื่อมเดี๋ยวดีมาตลอด สุดท้ายถามมาๆ เราก็บอกว่า มันจะต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือคนที่ปฏิบัติธรรมจะมีความสุขความสงบระงับในใจ ให้ปฏิบัติขึ้นมา อย่าไปรับรู้ อย่าไปฟังเรื่องสัพเพเหระ แต่คำถามนี้เริ่มเข้าคำถาม

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่น (มุตโตทัยหลวงปู่เหรียญ และอาจารย์สิงห์ทอง ทุกท่านกล่าวถึงการพิจารณากายก่อน

มันเป็นแบบที่พูดเรื่องเมื่อกี้นี้ เรื่องของสังคมกำลังประพฤติปฏิบัติมันแบบว่าแชร์ลูกโซ่ ถ้าใครลงทุนกับเราเดือนหนึ่งจะได้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อู้ฮูใครๆ อยากลงใหญ่เลย

นี่ก็เหมือนกัน การปฏิบัติมันต้องเห็นกายๆ เห็นกายแล้วเราจะสมัคร ที่นี่รับสมัครสัปเหร่อ ใครอยากจะปฏิบัติมาสมัครที่เราเลย เดี๋ยวเราจะเปิดห้องดับจิต ใครตายแล้วที่นี่รับฝากศพ จะได้เห็นกายไง เฝ้ากายเอาไว้เลย เราจะสมัครสัปเหร่อ ใครอยากเป็นสัปเหร่อยกมือด่วน ที่นี่ขาดแคลน ต้องการรับสมัครสัปเหร่อ

ในทางประพฤติปฏิบัติในแนวทางปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เราพูดอยู่ทุกวัน สติปัฏฐาน ๔ จอมปลอม การเห็นกายปลอมๆ การนึกการสร้างภาพการเห็นกาย ไม่มีอยู่จริง

การเห็นกายความเป็นจริงต้องทำความสงบของใจเข้ามา ใจที่มันสงบระงับแล้ว จิตสงบแล้วถ้ามันรำพึงเห็นกายได้มันก็เห็นกาย ถ้าคนที่จิตไม่สงบเห็นกายนั้นมันเห็นกายด้วยจินตนาการ การจินตนาการนั่นน่ะ พอเห็นกายโดยจินตนาการไปแล้ว ปฏิบัติไปแล้วนะ เดี๋ยวก็ไปล้มลุกคลุกคลาน มันไปไม่รอดหรอก มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้

จะมีธนาคารชาติใดที่รับฝากเงินให้ดอกเบี้ย ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มีธนาคารใดในโลกนี้รับฝากเงินให้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ย ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มาได้เลย มีธนาคารใดให้ มีไหม ตอนนี้ดอกเบี้ยติดลบนะ เอ็งฝาก กูต้องจ่ายตังค์ ญี่ปุ่นดอกเบี้ยติดลบครับ ไม่มี ๒๕ เปอร์เซ็นต์หรอก

อันนี้ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่าเราสงสารนะ ที่พูดนี่พูดด้วยความสงสารมากๆ สงสารมากๆ เพราะว่าผู้ที่ถามมานี่ถามเรามาตลอด ถ้าถามเรามาตลอด ทีนี้ด้วยความเป็นอยู่ของเขา เขาอยู่ในสังคมแบบนั้น พอเขาอยู่ในสังคมแบบนั้น คนไทยไปอยู่เมืองนอกมันก็มีสังคมชาวไทยอยู่กลุ่มหนึ่ง พอสังคมชาวไทยอยู่กลุ่มหนึ่ง เวลาเจอกันคุยกันมันก็จะคุยกันเรื่องสารทุกข์สุกดิบ แล้วถ้าใครไปภาวนามาจากไหนก็บอกว่า นี่ไง ที่นั่นปฏิบัติอย่างนั้น ที่นี่ปฏิบัติอย่างนี้ไง

แต่ผู้ถามเรานี่ถามพระสงบมาตั้งนาน ไม่น่าโง่อย่างนี้ มันน่าจะฉลาดบ้าง แล้วถามพระสงบมา ก็คุยกันมานาน เพราะคำถามว่า ๑เขาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นในมุตโตทัย หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่สิงห์ทอง

-๔ องค์นี่สาธุ นี่ครูบาอาจารย์ของเราทั้งนั้นน่ะ อาจารย์สิงห์ทองก็อาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นนี่อาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น อาจารย์ใหญ่ ครูบาอาจารย์เหล่านี้ เวลาผู้ที่ปฏิบัติ ท่านสอนให้กำหนดพุทโธ ท่านสอนให้ทำความสงบของใจก่อน ใจสงบแล้วถ้ามันรำพึงไปเห็นกาย นั่นน่ะถ้าจิตสงบแล้วเห็นกายมันจะเป็นความจริง

อันนี้ดอกเบี้ยติดลบหรือดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์มันก็ตามข้อเท็จจริงของท้องตลาด ถ้าท้องตลาดที่เราจะฝาก เราอยู่ในชุมชนใด เงินของเราต้องเดินบัญชีในชุมชนนั้น ชุมชนนั้นเขากำหนดราคาดอกเบี้ยเท่าไรมันก็ต้องเป็นราคาตามท้องตลาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน จิตของคนที่สงบแล้ว จิตคนสงบแล้วถ้าไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงจะเห็น

แต่นี้มันมีอยู่สองประเด็น ประเด็นหนึ่งคือว่าไปฟังเทศน์เอง ตีความผิด หรือว่ามีคนเป่าหูไง

ไอ้พวกเห็นกายๆ พิจารณากาย กายอะไร รับสมัครสัปเหร่อ เราจะตั้งเมรุเผาศพ จะมาพิจารณากายกันอยู่นี่ไง สัปเหร่อมันก็เห็นกาย สัปเหร่อมันเห็นทุกวันเลย แล้วสัปเหร่อก็อาชีพเขา สาธุ ไม่ได้ดูถูกนะ ถ้าพูดไปแล้วก็เหมือนกับเราไปดูถูกวิชาชีพ ไม่ใช่ดูถูก เพียงแต่เอามาเป็นคติธรรมเฉยๆ สัปเหร่อเขาเห็นกายของเขา แต่อาชีพของเขา สาธุนะ เขาก็ทำประโยชน์สังคมนะ ฉะนั้น เขาเห็นของเขาเป็นวิชาชีพใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติๆ ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าต้องเห็นกายๆ การเห็นกายของครูบาอาจารย์ของเราเห็นโดยจิตสงบ แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงด้วย หลวงปู่มั่น ที่หลวงปู่มั่นบอกพิจารณากาย ในมุตโตทัยท่านพูดถึง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ศูนย์ ศูนย์น่ะ ในมุตโตทัยนั่นน่ะ

มุตโตทัย เราอ่านทุกสำนวน ในมุตโตทัยที่แบบว่า ธรรม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ว่าธรรมสะอาด ธรรมที่ไม่เจือด้วยกิเลส ถ้าธรรมไม่เจือด้วยกิเลส ถ้าเป็นพระโสดาบันมันยังมีคุณธรรมส่วนหนึ่ง มีกิเลสอีก ๗๕ ส่วน พระสกิทาคามีมีคุณธรรม ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มีกิเลสอยู่ครึ่งหนึ่ง พระอนาคามีมีคุณธรรมในใจ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ มีกิเลสอยู่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าพระอรหันต์นะ มีคุณธรรม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย เป็นทองคำที่สะอาดบริสุทธิ์ ท่านเปรียบว่า ทองคำในเหมืองคือทองคำที่มีแร่ธาตุอื่นเจือปน กับทองคำที่อยู่ในร้าน ทองคำบริสุทธิ์ไง นี่มุตโตทัย

โธ่หลวงปู่มั่นก็ครูบาอาจารย์ใหญ่ของกรรมฐาน หลวงปู่เหรียญก็ครูบาอาจารย์ของกรรมฐาน ยิ่งอาจารย์สิงห์ทองก็ครูบาอาจารย์ของกรรมฐาน แล้วเราฟังมาหรือคนมาไซโคล่ะ

คนเขามาไซโคนะ เขาจะให้ดอกเบี้ย ๑๒๕ เปอร์เซ็นต์ เขาจะให้ดอกเบี้ยอย่างนั้นเลย นี่ไง แล้วก็อ้าง อ้างความน่าเชื่อถือ อ้างหลวงปู่มั่น อ้างหลวงปู่เหรียญ อ้างอาจารย์สิงห์ทอง อ้าง อ้าง ไม่เป็นความจริง

กรณีอย่างนี้มันเป็นกรณีคนต้องมีปัญญามันถึงโต้แย้งเรื่องอย่างนี้ได้ ถ้าฟังมาคือความเห็นของคนพูด ถ้าฟังเองโดยเทปของอาจารย์สิงห์ทอง ของในมุตโตทัย นั้นเราตีความผิด ถ้าเราฟังจากคนอื่นมา แสดงว่าคนอื่นเขาจงใจจะให้ดอกเบี้ย ๑๒๕ เปอร์เซ็นต์ ให้เราลงขัน ให้เล่นแชร์ลูกโซ่ แต่ถ้าเราฟังเอง เราฟังเอง วุฒิภาวะของเราไม่เข้าใจ

เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยท้องตลาด ๑๒ เปอร์เซ็นต์ ๑๓ เปอร์เซ็นต์เหมือนกับเมืองไทยสมัยก่อนไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้ไม่รู้นะ ตอนนี้เท่าไรก็ไม่รู้ ๓ หรือ ๔ ตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์นะ แต่เมื่อก่อน ๑๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้ว ที่ว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ๑๒ เปอร์เซ็นต์ไม่มีอีกแล้ว มันเป็นอยู่ในท้องตลาด

ถ้าเราฟังมาเอง เราก็ต้องมีวุฒิภาวะ แต่ถ้าเป็นคนอื่น ลูกศิษย์ลูกหาหรือสังคมเขาคุยกัน ไร้สาระ ไร้สาระ อ้าง อ้างมุตโตทัย อ้างหลวงปู่เหรียญ อ้างอาจารย์สิงห์ทอง อ้าง อ้างเอาครูบาอาจารย์มาเป็นเครดิต อ้างครูบาอาจารย์มาเป็นความน่าเชื่อถือ

เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนพุทโธ อาจารย์สิงห์ทองทำสมาธิอยู่ หลวงตาท่านชื่นชมอยู่ตลอดเวลา แล้วพิจารณากายตรงไหน แต่เวลาจิตมันสงบแล้ว หลวงตาท่านก็สอนให้ออกมาพิจารณา ท่านสอน จิตสงบแล้วท่านถึงสอนวิปัสสนา เพราะจิตมันสงบแล้วมันถึงจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

ที่เราพูดอยู่ทุกวัน สติปัฏฐาน ๔ จอมปลอม กับสติปัฏฐาน ๔ จริงๆ

ไอ้รู้เท่าทันสติปัฏฐาน ๔ ไอ้นั่นน่ะมันจำทั้งนั้นน่ะ นั่นมันกิริยาจำ นั่นน่ะฝึกทหาร ไอ้การปฏิบัติอย่างนั้นเป็นการฝึกทหาร ตอนเช้าเพิ่งพูดอยู่ว่าพระสงบ ธมฺมา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เอาอีกแล้ว

ก็คำถามมันยั่ว คำถามมันถามมาอย่างนี้ คำถามมันถามมาอย่างนี้ บอกว่า เขาพิจารณากายกัน ทำไมเราพิจารณากายไม่ได้

เราก็พิจารณากายเลยสิ การพิจารณากายมันก็เหมือนไง เหมือนกับว่าเราชิงสุกก่อนห่าม ถ้าการชิงสุกก่อนห่าม การปฏิบัติไปไม่มั่นคงหรอก การปฏิบัติมันก็ต้องขึ้นไปตามศีล สมาธิ ปัญญา ครูบาอาจารย์ของเราให้เบสิกให้พื้นฐานมันเข้มแข็งขึ้นไป ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ไม่ใช่ชิงสุกก่อนห่าม อยากได้อยากดี อยากเด็ดยอด แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน ธรรมเป็นไปไม่ได้

หลวงปู่มั่น หลวงปู่เหรียญ อาจารย์สิงห์ทอง มีองค์ไหนบ้างที่ไม่อยากให้เห็นกาย มีองค์ไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกศิษย์ภาวนาเป็น ก็อยากให้ลูกศิษย์ภาวนาเป็นทุกคนทั้งนั้นแหละ แต่การพิจารณาเป็นมันต้องพิจารณามาจากเบสิก มาจากพื้นฐาน มาจากการค้นคว้า การพึ่งตนเองได้ก่อน

การพึ่งตนเองได้คือทำสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นได้ จิตตั้งมั่นได้แล้วจิตมันค้นหา ค้นหาในสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ จริงๆ สติปัฏฐาน ๔ จากจิตดวงนั้น เพราะจิตดวงนั้นสงบระงับแล้วจิตดวงนั้นยกขึ้นสู่วิปัสสนาโดยวิธีการสติปัฏฐาน ๔

แล้วสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ถ้าใครเห็นกาย เห็นกายตามความเป็นจริงมันก็เห็นกาย ถ้าคนไม่เห็นกายเขาก็เห็นเวทนา คนไม่เห็นเวทนาเขาก็เห็นจิต คนไม่เห็นจิตเขาก็เห็นธรรม เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ นี่ถ้าตามความเป็นจริงมันจะเป็นอย่างนี้

ไม่ใช่ว่า “ทำไมเขาบอกต้องเห็นกาย แล้วของหนูก็ไม่เห็นกายเลย แล้วหลวงพ่อก็หลอกหนูพุทโธๆ อยู่นี่ หนูพุทโธมากับหลวงพ่อตั้งหลายปีไม่เห็นได้อะไรเลย

ไม่ได้อะไรเลย ถามตัวเองว่าสุขหรือทุกข์ ที่ถามปัญหามา ถามปัญหามาว่าล้มลุกคลุกคลานมีแต่ความทุกข์ความยากจนเบื่อหน่ายไม่อยากทำงานน่ะ แล้วเราตั้งสติปัญญาจนกลับมาพุทโธ กลับมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิจนจิตใจระงับ มีความสงบ แล้วกลับมาทำงานได้ นั้นคืออะไร นี่เราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราปฏิบัติธรรมเพื่อชีวิตของเรา เพื่อจิตของเราให้มันวิวัฒนาการ ให้มันพัฒนาขึ้น จากที่ล้มลุกคลุกคลาน จากที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ให้มันพึ่งตัวเองได้ พอพึ่งตัวเองได้แล้ว ถ้ามันทำความสงบระงับมากขึ้นมันจะเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิแล้วเรารำพึงไปที่กายให้มันเห็นกาย นั้นถึงจะเห็นกายสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นั้นก็จะเป็นการพิจารณากายแล้วแหละ

แต่ของหนู หนูไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย แล้วเวลาที่เขาสงบเข้ามา เขาเป็นสมาธิอยู่บ้าง มันเป็นระดับหนึ่ง มันควบคุมตัวเองได้ มันประคองตัวเองได้ ไม่ให้เข้าไปติดกับความเป็นตัวตนของเรา แล้วมันจับความคิดแล้วมันก็ปล่อย มันก็เลื่อนไป มันหมุนไปข้างหน้า มันไปได้เรื่อยๆ แค่นี้ แล้วจะทำอย่างไรต่อ

ก็ให้มันสงบ เพราะเราทำสมาธิเพื่อความระงับใจตัวเอง เพื่อความสงบของตัวเอง ถ้าจิตมันสงบระงับแล้ว นั่นแหละคือความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

จิตมันโง่ จิตมันได้ตะครุบเงา มันได้ไปตะครุบความคิด ไปตะครุบเอาความน้อยเนื้อต่ำใจ ไปตะครุบเอาแต่ปมด้อยของชีวิตเอามาทับถมชีวิตตลอดเลย มันไม่เคยอิสระเลย มันโง่ มันโง่ มันให้กิเลสมันมาหลอกลวง แล้วบอกนี่ภาวนาเก่ง เวลาพุทโธๆ พอจิตสงบเข้ามาไม่เห็นมันได้อะไรเลย

ไม่เห็นได้อะไร เอ็งทำไมไม่ทุกข์ล่ะ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเดิมล่ะ ทำไมไม่ตีอกชกตัวแบกอยู่ตลอดเวลาล่ะ ไอ้นี่มันคืออะไรล่ะ ไอ้ที่ไม่ตีอกชกตัวอยู่นี่มันเพราะอะไรล่ะ

ก็เพราะว่าพุทโธไง ก็พุทโธ นี่ไง เวลาเราปฏิบัติเราได้น้ำได้เนื้อ เราไม่เห็น แล้วเวลาคนเขาบอกว่าต้องพิจารณากาย เราก็จะทิ้งบ้านเราไปตะครุบเงา ทำงานอยู่นี่จะเป็นสัปเหร่อหรือ จะไปสมัครงานสัปเหร่อใช่ไหม จะไปเห็นกายน่ะ

เห็นกายเราก็เห็นกายของเรานี่สิ ถ้าจิตสงบแล้วมันค่อยเห็น

ไอ้ที่ว่า หลวงปู่มั่น มันติดขัดที่ว่าเขาเอาอาจารย์มาบังไว้นี่ มันบัง มันก็ครูบาอาจารย์เรานี่แหละ ทีนี้พอครูบาอาจารย์เราเป็นพระผู้ใหญ่ใช่ไหม ถ้าพระผู้ใหญ่พูดอย่างนี้แล้ว พระสงบน่ะพระกิ๊กก๊อก ก็ต้องพูดตามครูบาอาจารย์สิ เอาครูบาอาจารย์มาอ้างไง

เราบอกว่า สังคมเขาเป็นกันอย่างนี้ ขายแบรนด์กัน ยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ แต่เนื้อแท้มีหรือเปล่า เนื้อแท้มันรู้อะไร ไม่มี ไปเอายี่ห้อของอาจารย์สิงห์ทอง เอาหลวงปู่มั่นมา แล้วคิดว่าไอ้หงบกิ๊กก๊อกมันจะยอมจำนน

คารวะนะ นี่ครูบาอาจารย์เราจริงๆ แต่คนที่ศึกษาตีความมันเป็นความเห็น มันเป็นความเห็นของคน แล้วเอาครูบาอาจารย์มาบัง นี่กิเลสบังเงา กิเลสเอาธรรมะมาบังไว้แล้วอวดว่าความรู้นี้เป็นธรรม เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้เยอะมาก แต่เอามาขายกับเราไม่ได้ ถ้าไม่ได้แล้ว

อย่างนั้นกรณีอย่างนี้ที่ว่า เพราะเขาบอกว่าเขาต้องพิจารณากาย แล้วของเราไม่พิจารณากาย เราก็ผิดสิหลวงพ่อ หลวงพ่อนี่สอนหนูผิดเลย หลวงพ่อสอนหนูผิดตั้งนานน่ะ อายเขาจะตายอยู่แล้ว ไม่พิจารณากายสักที

ถ้าพิจารณากาย พิจารณากายอะไรล่ะ พิจารณากายหลอกแดกอย่างนั้นน่ะหรือ พิจารณากายมันต้องพิจารณากายจริงๆ สิ ถ้ามันถึงเวลาจะพิจารณามันถึงจะพิจารณา มันต้องถึงเวลาว่าเรามีคุณสมบัติอย่างนั้น เราถึงทำเรื่องอย่างนั้นได้ เราไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้นแล้วเราก็พยายามจะปีนบันไดกัน พยายามจะสร้างเครดิตกัน แล้วสร้างเครดิตแล้วมันก็ไม่ได้ด้วย กลายเป็นโกหกพกลม มหาโจรเที่ยวหลอกลวงชาวบ้าน

นี่พูดภาษาคนกิ๊กก๊อก ไอ้หงบมันกิ๊กก๊อก ไม่ได้สอนให้พิจารณากาย เอ็งเห็นกายมาสิ เอ็งทำได้เดี๋ยวกูจะเข็นมึงไปเองถ้ามึงทำได้ นี่ทำไม่ได้

นี่พูดถึงให้คนมีจุดยืน แล้วมีปัญหาอย่างนี้ คำถาม “ความสงบและสมาธินี้เพียงพอหรือไม่เจ้าคะ

เราทำความสงบของใจเข้ามา ที่เขาบอกว่าทำสมาธิได้ๆ ทำสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ในภาวะสังคม สังคม ถ้าเราทำจิตของเราสงบระงับ มันมีความสุข มีความสงบ มีความระงับ

แต่ไอ้ที่เขามาหลอกโยมที่เขามาเล่าให้โยมฟังว่าพิจารณากายๆ เขาจะล้วงกระเป๋าโยมแล้วรู้ไหม ถ้าจะพิจารณากายต้องไปหาอาจารย์นั้น ต้องมีค่ารถ ต้องมีค่าใช้จ่าย เดี๋ยวต้องมีค่าขึ้นครู อาจารย์ท่านไม่สบาย ท่านจะพาให้ไปรักษา ต้องจ่ายอีกเท่านั้นๆๆ เดี๋ยวเถอะ ไอ้พิจารณากายที่จะพาไปนั่นน่ะ นั่นมันจะล้วงกระเป๋ายังไม่รู้จักอีกใช่ไหม

จำเป็นไหมที่ต้องพยายามทำให้มันสงบมากกว่านี้

เราทำความสงบของเราเข้าไป ไอ้ที่ว่าจะเห็นกายไม่เห็นกายมันเป็นวาสนาของคนเหมือนกัน ถ้าคนมีวาสนามันก็จะได้รู้ได้เห็น ถ้าคนไม่มีวาสนา เราก็ค้นคว้าหาของเรา ถ้าค้นคว้าหาของเรา คนเราทำความสงบแล้ว ค้นคว้าก็คือพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี่แหละ ถ้าพิจารณาการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าจิตมันชัดเจนขึ้นมา จิตมันสงบระงับเข้ามา มันจับเลย พอมันจับเลย มันสั่น มันขั้วหัวใจมันสั่นไหวกิเลส นั่นน่ะถึงจะเป็นความจริง การเห็นกาย การเห็นเวทนา การเห็นจิต การเห็นธรรมตามความเป็นจริง นี่การเห็นตามความเป็นจริง

เพราะว่ากิเลสมันเป็นนามธรรม กิเลสเป็นความรู้สึก กิเลสเป็นความรู้สึก แต่มันมีตัวมีตนนะ มันมีความรู้สึก แต่เวลามันจะแสดงตัวตนของมัน มันแสดงตัวตนของมันโดยกาย เวทนา จิต ธรรม มันอาศัยกาย เวทนา จิต ธรรมเป็นสนามหลอกหัวใจนี้ เป็นสนามหลอกมนุษย์ กิเลสมันเอากาย เอาเวทนา เอาจิต เอาธรรมเป็นสนามหลอกลวงมนุษย์ แล้วมนุษย์คนที่มีสติปัญญา ถ้าจิตสงบแล้วจะเข้าไปหากิเลส

ครูบาอาจารย์ท่านถามบ่อย เห็นกิเลสไหมๆ ถ้ามันเห็นกิเลสคือมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เพราะมันเห็นสนามที่กิเลสมันหลอกใช้อยู่นี่ ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นของมัน ถ้ามันจับต้องของมันได้มันถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าจิตสงบนี้พอไหมๆ เราทำความสงบของใจเราเข้ามา

คนไม่มีวุฒิภาวะ คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาจะสมัครทำหน้าที่การงานอย่างนั้นไม่มีประสบการณ์ งานเขาเสียหมด เขาไม่รับหรอก คนที่จะทำงานอย่างนั้นได้เขาต้องผ่านงานของเขามา เขาทำของเขาได้ จิตที่มันผ่านพ้นกิเลสขึ้นไปมันต้องมีสติปัญญาของมัน

นี่พูดถึงว่า เราทำความสงบของใจของเราต่อเนื่องไป แล้วถ้าเวลาใจสงบแล้วเราพิจารณาการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย สติปัฏฐาน ๔ ไม่สติปัฏฐาน ๔ เดี๋ยวจะรู้กัน ทำความสงบของใจเข้ามาแล้วพิจารณาเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วเดี๋ยวถ้าจิตมันเป็น จิตมีอำนาจวาสนา เดี๋ยวมันจับต้องของมันแล้วจะรู้ตามความเป็นจริง นี่ภาคปฏิบัติ

หรือไม่ต้องก็ได้ ให้ทำในสิ่งที่เราทำอยู่นี้ให้แจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นมา เน้นไปที่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สุดเพียงแค่นี้หรือเจ้าคะ

ชักคิดได้เนาะ ถามเอง คิดเอง โอ้!

ตั้งสติให้ดี ตั้งสติให้ดี เพราะเราปฏิบัติมา เราเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธเราจะไม่ให้ใครหลอกใครลวงเราไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน หลวงตาท่านสอนว่า ให้เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของตน นี่ไง ไม่ให้ใครหลอก

ไอ้นี่ แหมพอเขาบอกไม่พิจารณากาย เขียนมาถามเลย กลัวพระกิ๊กก๊อกมันหลอกเอา

เราอยู่ไกลกันคนละทวีปนะ ไม่ล้วงกระเป๋าหรอก ไม่หลอก ไม่หลอก เพราะหลอกก็ไม่ได้ตังค์ ไอ้ที่หลอกอยู่ใกล้ๆ กันนั่นน่ะ ไอ้ที่ชวนกันไปนั่นน่ะ มันติดกันนั่นน่ะ มันต้องเสียค่าใช้จ่าย ไอ้นั่นน่ะมันจะหลอก ไอ้เรามันอยู่คนละทวีปน่ะ เราอยู่บ้านเรา ไม่หลอก ไม่หลอก ฉะนั้น ไอ้กิ๊กก๊อกมันไม่พาไปเสียคนหรอก ทำตัวให้ดีๆ ทำของเราได้

นี่เขาบอกว่า ทำต่ออย่างไร ทำอย่างไร

ทำแล้วมันจะได้ผลของมัน ปฏิบัติของเราเพื่อตัวของเราเนาะ เอวัง